top of page

พระอุปัชฌาย์รอด

483880618_1090754903096098_2112203838152554843_n_edited.jpg

"หลวงพ่อรอด" หรือ "พระอุปัชฌาย์รอด"

หลวงพ่อรอดเป็นคนพื้นบ้าน หมู่ 3 ตำบลคลองเขื่อนซึ่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำบางปะกงอันเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยเลือกสวนไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ ท่านเกิดในสกุลมงคล เมื่ออายุครบได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านกล้วย อำเภอบางคล้า ส่วนใหญ่ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดโพธิ์บางคล้า ได้มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติจนแตกฉาน

 

ส่วนในด้านวิทยายุทธ์นั้นท่านได้เดินทางไปศึกษากับท่านอาจารย์ที่วัดส้มป่อย จังหวัดนครนายกอยู่หลายพรรษาจึงเดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่อยู่ ณ วัดโพธิ์บางคล้าเช่นเดิม จนกระทั่งญาติโยม ได้ไปนิมนต์ท่านกลับมาจำพรรษายังวัดคลองเขื่อน อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆเท่านั้น

 

เมื่อท่านกลับมาจำพรรษายังสำนักสงฆ์แห่งนี้ท่านได้บูรณะก่อสร้างเป็นการใหญ่และด้วยปฏิทาของอุโบสถอุบาสิกาที่ศรัทธาเลื่อมใสในองค์หลวงปู่รอดนั่นเอง ช่วงเวลาไม่ช้าไม่นานหมู่กุฎิสงฆ์โบสถ์วิหารศาลากลาง ได้ก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยมั่นคงแข็งแรงเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเป็นที่สง่างามอีกวัดหนึ่งได้ปรากฏชื่อเป็นทางราชการว่า วัดคลองเขื่อน

ส่วนหลวงปู่รอดเองได้รับแต่งตั้งจากทางราชการเป็นพระครูประทวนและเป็นพระอุปัชฌาย์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะหมวดตำบลคลองเขื่อนอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย มีหน้าที่ปกครองดูแลอุปสมบทกุลบุตรผู้ใคร่ในพระศาสนาสืบต่อมา 

ในสมัยหลวงปู่รอดเป็นพระอุปัชฌาย์ ในอำเภอบางคล้าดูเหมือนจะมีท่านว่าที่พระอุปัชฌาย์เพียงองค์เดียวเท่านั้น หน้าที่พระอุปัชฌาย์จึงตกเป็นภาระของท่านทั้งหมดและข้ามถิ่นไปถึงจังหวัดนครนายกก็มี อีกทั้งท่านเป็นพระเถระที่มีอายุยืน (มรณะอายุใกล้จะ 90 ปี ปี พ.ศ. 2491) ดังนั้นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่จึงปรากฏมีอยู่มากมายตลอดอำเภอบางคล้าก็ว่าได้ โดยหน้าที่เจ้าคณะหมวด คลองเขื่อนจะต้องปกครองดูแลคณะสงฆ์ ระงับอธิกรณ์ เทศนาอบรมสั่งสอนให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติอยู่ภายในกรอบของศีลธรรมอันดีงาม

ในสมัยหลวงปู่รอดนั้น การศึกษายังไม่ได้ขยับขยาย ออกไปสู่ชนบท อย่างตำบลคลองเขื่อนเหมือนทุกวันนี้ ท่านเป็นผู้มองเห็นการไกล คนที่ไร้การศึกษาจะเป็นคนโง่ไม่ทันโลกและเหตุการณ์ ด้วยเหตุฉะนี้ ท่านจึงได้รับเป็นผู้ให้การศึกษาแก่อนุชนในย่านนั้น โดยรวบรวมนำเอามาให้การศึกษาด้วยตัวท่านเอง ให้การอบรมทั้งทางโลกและทางธรรม ควบคู่กันไปในด้านการปกครอง หลวงปู่รอดเป็นคนเด็ดขาด เด็กวัดคลองเขื่อนถ้าดือดึงขัดขึนจะโดนท่านตี ด้วยหนังควาย ที่ขมวดเป็นเกลียวเชือก และถึงแม้จะเติบโตไปมีลูกมีเมียแล้วก็ตามที ถ้าไปประพฤติไม่ดี ลักเล็กชะโมยน้อย กินเหล้าเมายาไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ ข่าวนี้ถ้าได้ยินไปถึงหูท่าน เป็นต้องโดนเรียกกลับมาเฆี่ยนทุกรายไป และไม่ปรากฏมีใครกล้าดือดึงขัดขืนท่านเลยสักคนเดียว

นอกจากท่านจะบำเพ็ญตนเป็นครูบาอาจารย์แล้วยังเป็นทั้งผู้ปกครองอีกด้วย หลวงปู่รอดจึงเป็นคนที่ลูกศิษย์ทั้งรักและเกรงกลัวเป็นที่สุด

คุณวิเศษอีก ประการหนึ่ง ที่ปรากฏชื่อเสียงโด่งดังของท่านก็คือ การรักษาพยาบาลทางแผนโบราณ สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญรุ่งเรือง การรักษาพยาบาลเป็นไปตามมีตามเกิด การเจ็บไข้ได้ป่วยไหนจะหนีหลวงปู่ไปพ้น ท่านมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรค ทั้งทางยาและน้ำมนต์โด่งดังมาก แม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้วเกือบ 30 ปี แต่ทว่าในอำเภอบางคล้ายังมีลูกศิษย์ของท่านเป็นแพทย์แผนโบราณที่เชี่ยวชาญอยู่หลายท่าน อาทิเช่น หมอแก้ว อาจารย์เผือก หมอเจียน และหมอสุก เกตุโชล (ยังมีชีวิตอยู่) ซึ่งล้วนแต่เป็นศิษย์ใน หลวงปู่รอด ทั้งสิ้น

หลวงตาย้อย ลูกศิษย์ในหลวงปู่รอดบัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ได้กรุณาเล่าให้พึ่งว่า เรื่องน้ำมนต์หลวงปู่ทางคลอดลูกนั้น ศักดิ์สิทธิ์ มักมีคนมาขอให้ท่านทำให้แทบไม่เว้นแต่ละวัน มีอยู่วันหนึ่งเป็นเป็นเวลาเย็น ท่านนั่งคุมช่างก่อสร้างพระอุโบสถอยู่ มีชาวจีนหิ้วหม้อดิน บรรจุน้ำเต็มเพื่อมาขอให้ท่านทำน้ำมนต์ โดยมิพัก ต้องดูกาละเทศะ พร้อมกับยื่นหม้อดินบรรจุน้ำให้ ท่านก็ว่า เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ โดยที่ท่านไม่ได้หันมาสนใจอีกเลย ชาวจีนผู้นั้นนั่งรอท่านเป็นเวลานานพอสมควรจึงได้ถามเซ้าซี้ท่านขึ้นมาอีก ท่านตอบว่า เอากลับไปได้แล้ว น้ำในหม้อนั้นแหละน้ำมนต์ละ ชาวจีนผู้นั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นคงจะนึกฉุนอยู่ในใจ ด้วยไม่เห็นท่านจุดเทียนหรือปลุกเสกน้ำมนต์แต่อย่างใด แล้วท่านจะว่าน้ำในหม้อ ที่ตักเอามาจากหน้าวัดจะเป็นน้ำมนต์ได้อย่างไร?

เมื่อหัวออกมาพ้นจากท่านแล้วก็เอาหม้อดินทุ่มลงไปเสียงแตกดังโพล๊ะ แต่มันหน้าอัศจรรย์เสียนี่กระไร ที่น้ำมนต์ในหม้อดินนั้นคงรูปเป็นหม้อดินแข็งอยู่เป็นเวลานานเกือบ 10 นาที จึงละลายสลายไป

เรื่องนี้หลวงตาย้อยท่านยืนยันว่าได้เห็นกับตาตนเองเลยทีเดียว และยังพูดเปรยขึ้นอีกว่า ถ้าไม่ได้เห็นมากับตา ใครอมพระมาพูดอาตมา

ก็ไม่เชื่อ

อีกเรื่องหนึ่ง ตาเต๋า เป็นคนบ้านหัวไทร สติไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก เข้าขึ้นคุ้มดีคุ้มร้าย ได้มาอาศัยท่านอยู่ วันนั้นเป็นวันเทศกาลมีผู้คนมาทำบุญ ตักบาตรกันมาก แต่งตัวสวยๆ งามๆทั้งนั้น ท่านจึงเรียกตาเต๋าเข้าไปหาแล้วส่งน้ำมนต์ให้ลูบหน้าลูบตาเสีย หลังจากที่ตาเต๋าเอาน้ำมนต์ที่ท่านให้ มาลูบหน้าแล้ว ตาเต๋าก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว มีคนเข้าไปถามตาเต๋าว่า แกหัวเราะอะไร ตาเต๋าก็ตอบว่า ดูสิคนที่มาทำบุญทำไมถึงแก้ผ้าหมดทุกคนก็ไม่รู้ แกพูดพลางก็หัวเราะไปพลางอย่างถูกอกถูกใจทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาตาเต๋าจะไปขอให้ท่านทำน้ำมนต์มาลูบหน้าอีก ปรากฏว่า ท่านไม่ยอมทำให้อีกเลย

และมีเรื่องเล่าลือกันว่า ท่านเคยเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ให้เด็กวัดช่วยวิ่งไล่จับเป็นที่สนุกสนาน เมื่อไล่จับมันจนเหน็ดเหนื่อยแล้วกระต่ายก็จะวิ่งเข้าไปหาท่านในโบสถ์ เด็กก็จะพากันเข้าไปค้นหาจนทั่วก็ไม่พบ คงพบแต่ผ้าอาบที่ท่านขมวดๆ เป็นปมเท่านั้น เรื่องทั้งหมดที่หลวงตาย้อย เล่าให้ฟังนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ที่มนุษย์ ธรรมดา จะทำสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ได้ แต่จากหลักธรรมอันว่า ด้วย อภิญญา ได้ยืนยันไว้ว่า ผู้ที่ได้ญาณสมาปติชั้นสูงสามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิได้นานับประการ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นแล้วแต่จะได้พิจารณากัน

หลวงตาย้อย ผู้เล่าเรื่องอภินิหารหลวงปู่รอด

จากมูลเหตุ ที่หลวงปู่รอดเป็นผู้เห็นการไกล ถ้าไม่เอาเด็กในตำบลคลองเขื่อนมาให้การศึกษา สืบต่อไปจะเป็นคนโง่เง่าไม่ทันเหตุการณ์ ท่านจึงได้รวบรวมตั้งเป็นสถานศึกษาขึ้นภายในวัด และเป็นที่นิยมชมชอบของชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เป็นผู้สอนด้วยตนเอง พายรับพายส่งรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่มีที่จบสิ้น โดยมีครูมงคล เมฆโสภณ เป็นผู้ช่วย สืบต่อมาในระยะหลังท่านชราภาพมากแล้วจึงลามือ ครูมงคล เมฆโสภณ ผู้นี้สืบต่อมาได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาล วัดคลองเขื่อน ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ อายุได้ 71 ปี ปลดเกษียรแล้ว ใช้ชีวิตบั้นปลายอันสงบร่มรื่นอยู่ยังบ้านสวนข้างๆ วัดนั้นเอง

 

ท่านกรุณาเล่าให้ฟั่งว่า การสั่งสอนลูกศิษย์ของหลวงปู่นั้น สอนกันทั้งปีหาเวลาหยุดเทอมยาก ท่านว่าอ้ายพวกนี้หยุดเรียนก็ไปออกลิงออกค่างเสียเวลาเปล่า เหตุการณ์ได้เป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งปี พ.ศ. 2482 ทางราชการได้แผ่ขยายขอบข่ายการศึกษาออกสู่ชนบท โดยเฉพาะที่วัดคลองเขื่อน ได้รับเงินอุดหนุนเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียนเป็นเงินถึง 800 บาท แต่ทว่าครูมงคลเห็นว่าเงินจำนวนนี้ไม่พอแก่การที่จะขยับขยายปลูกสร้างอาคารเรียน ให้มันมั่นคงแข็งแรงได้ จึงได้ไปเรียนให้หลวงปู่รอดทราบและขออนุญาตสร้างเหรียญรูปท่านเพื่อนำมาออกหารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียน กว่าท่านจะอนุญาตให้สร้างได้นั้นท่านตรึกตรองอยู่หลายวันจึงตอบอนุญาต 

ครูมงคล เมฆโสภณ

วิดีโอเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์รอด

DSC04557.jpg
bottom of page